วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พัฒนาการของ Internet

พัฒนาการของ Internet

ปี พ.ศ. 2500 (1957) โซเวียดได้ปล่อยดาวเทียม Sputnik ทำให้สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น ค..ศ. 2512 (1969) กองทัพสหรัฐต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางการทหาร และความเป็นไปได้ในการถูกโจมตี ด้วยอาวุธปรมาณู หรือนิวเคลียร์ การถูกทำลายล้าง ศูนย์คอมพิวเตอร์ และระบบการสื่อสารข้อมูล อาจทำให้เกิดปัญหาทางการรบ และในยุคนี้ ระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีหลากหลายมากมายหลายแบบ ทำให้ไม่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร และโปรแกรมกันได้ จึงมีแนวความคิด ในการวิจัยระบบที่สามารถ เชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์ และแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้ ตลอดจนสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างกัน ได้อย่างไม่ผิดพลาด แม้ว่าคอมพิวเตอร์บางเครื่อง หรือสายรับส่งสัญญาณ เสียดายหรือถูกทำลาย กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ( DoD = Department of Defense) ได้ให้ทุนที่มีชื่อว่า DARPA (Defense Advanced Research Project Agency) ภายใต้การควบคุมของ Dr. J.C.R. Licklider ได้ทำการทดลอง ระบบเครือข่ายที่มีชื่อว่า DARPA Network และต่อมาได้กลายสภาพเป็น ARPANet (Advanced Research Projects Agency Network) และต่อได้มาพัฒนาเป็น INTERNET ในที่สุด
การเริ่มต้นของเครือข่ายนี้ เริ่มในเดือน ธันวาคม 2512 (1969) จำนวน 4 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจลิส สถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และขยายต่อไปเรื่อยๆ เป็น 50 จุดในปี พ.ศ. 2515 จนเป็นหลายล้านแห่งทั่วโลกทีเดียว
     งานหลักของเครือข่ายนี้ คือ การค้นคว้าและวิจัยทางทหาร ซึ่งอาศัยมาตรฐานการรับส่งข้อมูลเดียวกัน ที่เรียกว่า Network Control Protocol (NCP) ทำหน้าที่ควบคุมการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความผิดพลาดในการส่งข้อมูล และตัวกลางที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเข้าด้วยกัน และมาตรฐานนี้ก็มีจุดอ่อนในการขยายระบบ จนต้องมีการพัฒนามาตรฐานใหม่
     พ.ศ. 2525 ได้มีมาตรฐานใหม่ออกมา คือ Transmission Control Protocol/Internet Protocol (TCP/IP) อันเป็นก้าวสำคัญของอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมาตรฐานนี้ทำให้คอมพิวเตอร์ต่างชนิดกัน สามารถรับส่งข้อมูลไปมาระหว่างกันได้ เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของอินเทอร์เน็ตเลยก็ว่าได้

     จากระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ที่มีอยู่ในยุคนั้น ไม่สามารถตอบสนองการสื่อสารได้ บริษัทเบลล์ ( Bell) ได้ให้ทุนการศึกษาแก่ ห้องทดลองที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่ง ในสมัยต่อมา คือ Bell's Lab ให้ทดลองสร้าง ระบบปฏิบัติการแห่งอนาคต (ของคนในยุคนั้น) เดนนิส ริสซี และ เคเน็ต ทอมสัน ได้ออกแบบ และพัฒนาระบบที่มีชื่อว่า UNIX ขึ้น และแพร่หลายอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับการแพร่หลายของระบบ Internet เนื่องจากความสามารถ ในการสื่อสารของ UNIX และมีการนำ TCP/IP มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการนี้ด้วย


อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงADSL อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง

อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงADSL  อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง
      การเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตของผู้ใช้ตามบ้านโดยทั่วไปในอดีตและปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้วิธีการหมุนโมเด็มเข้าสู่ระบบ ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าความเร็วในการรับส่งข้อมูลของโมเด็มในปัจจุบันสูงสุดได้ไม่เกิน 56 กิโลบิตต่อวินาที(Kbps) แต่ในความเป็นจริงแล้ว น้อยครั้งที่เราสามารถใช้งานโมเด็มได้เต็มความสามารถที่ความเร็วดังกล่าว เนื่องจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่นสภาพของคู่สายโทรศัพท์ไม่ดีพอ หรือขีดความสามารถของผู้ให้บริการ ซึ่งการใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วต่ำดังกล่าวได้สร้างความเบื่อหน่ายให้กับนักท่องอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างยิ่ง และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การเจริญเติบโตของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในบ้านเราปัจจุบันยังไม่สูงมากนัก อีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้ตามบ้านปัจจุบันคือการใช้เคเบิ้ลโมเด็ม ซึ่ง ถึงแม้จะให้ความเร็วที่สูงแต่ยังมีข้อจำกัดอยู่ที่ต้องลงทุนเดินสายสัญญาณ ใหม่ทำให้ต้องจ่ายค่ายริการที่ค่อนข้างสูงและมีพื้นที่บริการจำกัดอยู่เฉพาะ ในเขตกรุงเทพฯ เท่านั้น สำหรับผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มองค์กร หรือบริษัท ต่างๆ ก็อาจมีทางเลือกมากขึ้นในการเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้แก่ การใช้คู่สาย ISDN ,วงจรเช่า(Leased Line),ไฟเบอร์ออพติค หรือตลอดจนดาวเทียมเป็นต้น ซึ่งแม้จะสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ด้วยความเร็วที่สูงกว่า แต่สิ่งที่ตามมาก็คือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าหลายเท่าเช่นกัน แต่ในวันนี้ผู้ใช้งานทั้งสองกลุ่มมีทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งด้านประสิทธิภาพและราคา ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า ADSL
      ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Line) เป็นหนึ่งในสมาชิกของเทคโนโลยีตระกูลDSL (Digital Subscriber Line) หรือบางครั้งเรียกว่า xDSL ได้แก่ HDSL (High Bit Rate DSL), SDSL (Symmetric DSL), VDSL (Very High Bit Rate DSL),RADSL (Rate Adaptive DSL)เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีตระกูลนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลผ่านคู่สายทองแดงที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ให้มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้มากขึ้น เป็น การใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเดิมที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยที่ไม่ ต้องลงทุนสร้างโครงข่ายใหม่ทั้งหมดในบรรดาเทคโนโลยีตระกูล DSLความจริงแล้วก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นโมเด็มชนิดหนึ่งนั่นเอง แต่สิ่งที่แตกต่างที่เห็นได้ชัดคือความเร็วในการส่งข้อมูล ซึ่งในบรรดาเทคโนโลยีตระกูล DSL ที่ใช้งานกันในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตใน     ปัจจุบัน ADSLเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากว่าในการใช้งานโดยทั่วไปเราจะเป็นผู้ที่โหลดข้อมูลจากเครือข่ายมากกว่าส่งข้อมูลไปยังเครือข่าย ซึ่งโมเด็ม ADSL มีความสามารถในการดาวโหลดข้อมูลจากผู้ให้บริการ(Downstream) ได้สูงสุดถึง 8 เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps) และสามารถส่งข้อมูลขึ้นไปยังผู้ให้บริการ(Upstream) ได้สูงถึง ประมาณ 640 กิโลบิตต่อวินาที จากการที่ความเร็วในการรับและส่งข้อมูลที่ไม่เท่ากันจึงเป็นที่มาของคำว่า Asymmetric DSL นั่นเอง ซึ่งความเร็วในการดาวโหลดข้อมูลของ ADSLหากเทียบกับโมเด็มปกติ (56 Kbps) แล้วจะเร็วกว่าถึงประมาณ 140 เท่าเลยทีเดียว หากยังนึกไม่ออกว่าจะเร็วขนาดไหน ก็ขอยกตัวอย่างการดาวโหลดโปรแกรมซักโปรแกรมหนึ่งที่มีขนาด 10 เมกกะบิต หากใช้โมเด็มปกติจะใช้เวลาในการดาวโหลดถึงประมาณสามชั่วโมง เรียกว่ารอกันจนเหนื่อยเลย แต่หากเป็น ADSLแล้วจะใช้เวลาเพียง ประมาณนาทีครึ่งเท่านั้นเอง  อะไรที่ทำให้เทคโนโลยี ADSL จึงทำได้เหนือกว่าโมเด็มธรรมดาขนาดนั้น ก็ต้องอธิบายก่อนว่าโมเด็มธรรมดาได้ใช้การส่งข้อมูลไปในช่องสัญญาณเดียวกับช่องสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งมีช่วงแบนวิทด์(ช่วงกว้างของความถี่) เพียง 4 กิโลเฮิร์ต เท่านั้นเอง ด้วยเทคโนโลยีการมอดดูเลชั่น(การผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะ) ปัจจุบันจึงทำให้สามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดเพียง 56กิโลบิตต่อวินาทีและข้อมูลจะถูกส่งผ่านสายโทรศัพท์ไปยังตัวสวิทชิ่งของชุมสายโทรศัพท์และถูกส่งต่อไปยังผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต แต่ในความจริงแล้วคู่สายโทรศัพท์ที่เป็นสายทองแดงมีช่วงความถี่กว้างถึงประมาณหนึ่งเมกกะเฮิร์ต

      ดังนั้น เทคโนโลยี ADSL จึงได้นำความถี่ในช่วงที่เหนือจากช่วงความถี่ของระบบโทรศัพท์ที่เหลืออยู่นี้มาใช้ในการรับส่งข้อมูล ด้วยช่วงความถี่ที่กว้างกว่าและเทคโนโลยีการส่งสัญญาณแบบใหม่ คือ DMT (Discrete Multi Tone) หรือ CAP (Carrierless Amplitude And Phase Modulation) จึงทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ถึง 8 เมกกะบิตต่อวินาทีนั่นเอง โดยจะมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับแยกสัญญาณระหว่างเสียงกับข้อมูลที่บ้านผู้ใช้บริการที่เรียกว่า Splitter โดยสัญญาณเสียงและข้อมูลจะถูกส่งไปบนคู่สายโทรศัพท์เดียวกัน ไปยังอุปกรณ์ Splitter ด้านชุมสายโทรศัพท์  เพื่อแยกสัญญาณเสียงไปยังอุปกรณ์ชุมสายโทรศัพท์และ แยกสัญญาณข้อมูลไปยังอุปกรณ์ ADSL Card ซึ่งเป็นโมเด็มที่อยู่ด้านชุมสาย และ อุปกรณ์ DSLAM (DSL access Multiplexer) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการรวบรวมสัญญาณข้อมูลจากผู้ใช้รายย่อย จากนั้นข้อมูลจะถูกส่งผ่านระบบสื่อสัญญาณไปยังผู้ให้บริการเครือข่าย ADSL และส่งต่อไปยังผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตต่อไปดังรูปภาพด้านบนอย่างไรก็ตามในการใช้งานจริงการที่จะส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมากเท่าใดนั้นต้องขึ้นอยู่กับสภาพของคู่สายโทรศัพท์ด้วย ซึ่งคู่สายโทรศัพท์ที่ใช้อยู่จริงมีจุดต่อหลายจุดและอาจมีออกไซด์หรือความชื้นในสายซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลในเกิดการสูญเสียของข้อมูลได้ ในการทดลองใช้งานจริงในประเทศไทยก็พบว่าการรับส่งข้อมูลทำได้ไม่ถึงตามความสามารถสูงสุดที่ 8 Mbps โดยปัจจุบันอัตราความเร็วสูงสุดที่ให้บริการลูกค้ากลุ่มองค์การในอยู่ที่ความเร็ว 2 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วเพียงพอที่จะใช้งานกับข้อมูลมัลติมีเดียแบบภาพเคลื่อนไหวเช่นวิดีโอได้

คุณสมบัติของเทคโนโลยี ADSL มีอะไรบ้าง
    ความเร็วสูง  เทคโนโลยี ADSL มีความเร็วสูงกว่าโมเด็มแบบ 56K ธรรมดากว่า 5 เท่า (256 Kbps.) หรือสูงสุดกว่า 140 เท่าที่ความเร็ว 8 Mbps.
    การเชื่อมต่อแบบ Always On สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
    ค่าใช้จ่ายคงที่ ในอัตราที่ประหยัด  ค่าใช้จ่ายเป็นแบบเหมาจ่ายรายเดือนแบบไม่จำกัดเวลา ในราคาเริ่มต้นที่ประหยัด ไม่ต้องเสียค่าเชื่อมต่อโทรศัพท์ต่อครั้ง

ความเร็วของ ADSL เป็นอย่างไร
เทคโนโลยี ADSL มีความเร็วในการรับข้อมูล (Downstream) และความเร็วในการส่งข้อมูล (Upstream) ไม่เท่ากัน  โดยมีความเร็วในการรับข้อมูลสูงกว่าความเร็วในการส่งข้อมูลเสมอ เทคโนโลยีADSL มีความเร็วในการรับข้อมูลสูงสุด 8 เม็กกะบิตต่อวินาที (Mbps) และความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดที่640 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps.) ความเร็วอาจเริ่มตั้งแต่ 128/64, 256/128, 512/256 เป็นต้น โดยความเร็วแรกเป็นความเร็วขารับข้อมูล

เราสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างจากบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ADSL
- รับและส่งไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
- การดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากอินเทอร์เน็ต
- การดู VDO streaming และ การประชุมทางไกล VDO conferencing
- การประยุกต์ใช้สำหรับการรักษาความปลอดภัยของบ้าน และการมอนิเตอร์สถานที่ต่าง ๆ จากระยะไกล โดยใช้ใIP Camera เชื่อมต่อผ่าน ADSL
- การเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานด้วยกันในราคาที่ประหยัด
- การสำรองข้อมูลจากสำนักงาน หรือจากอินเทอร์เน็ต
- การเล่นเกมส์ออนไลน์ที่เร็วและสนุกกว่าเดิม



ความหมายและประวัติของอินเตอร์เน็ต

ความหมายและประวัติของอินเตอร์เน็ต
     ความหมายของอินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด
      อินเทอร์เน็ตจึงมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร   เนื่องจากระบบ WAN เป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ
      ประวัติของอินเตอร์เน็ต คือช่วงต้นปีคริสต์ศตวรรษ 1960 (ประมาณปี 2503) ซึ่ง เป็นยุคสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับโซเวียต มีความเสี่ยงทางการทหารและความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณูหรือ นิวเคลียร์ การทำลายล้างศูนย์คอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารจ้อมูล อาจทำให้เกิดปัญหาทางการรบและในช่วงนี้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสาร ข้อมูล อาจทำให้เกิดปัญหาทางการรบ จึงมีแนวคิดในการวิจัยระบบที่สามารถเชื่อมโยงเครื่องคอมพิวเตอร์และแลก เปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่แตกต่างกันได้
      อินเทอร์เน็ตจึงถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2512 โดยองค์กรทางทหารของสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า U.S. Defense Department คิดขึ้นเพื่อให้มีระบบเครือข่ายสื่อสารที่ไม่มีวันตาย แม้จะถูกโจมตีจากสงคราม เรียกเครือข่ายนี้ว่า ARPAnet (Advances Research Project Agency Network) จุดเริ่มของ ARPAnet ได้ทำการทดลองเชื่อมคอมพิวเตอร์จาก 4 แห่ง โดยเริ่มจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย (UCLA) กับสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด (SRI) ทั้งสองแห่งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยซานตาบาร์บารา(UCSB) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์ (UTAH) ความสำเร็จของเครือข่ายทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา นำมาพัฒนาใช้ประโยชน์ในการสื่อสารรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : E-Mail)รับส่งข่าวสาร แฟ้มเอกสารต่าง ๆ ในงานวิจัยทางวิชาการ ปี พ.ศ.2523 คนทั่วไปเริ่มสนใจอินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในเชิงพาณิชย์ บริษัท ห้างร้าน องค์กรเอกชนต่าง ๆ เริ่มใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาสัมพันธ์ธุรกิจ มีการซื้อขายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (E-Commerce) จนเกิดกระแสนความนิยมในธุรกิจดอทคอมมากขึ้น

      

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประวัติของผู้ชนะสิบทิศ


เรื่องย่อผู้ชนะสิบทิศ 
ยอดขุนพล

เรื่องมันเกิดขึ้นที่ลุ่มน้ำอิระวดี เมืองตองอู พุกามประเทศ ตรงกับปีพ.ศ. 2073 และเป็นสมัยราชธานีกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1
เมืองตองอูซึ่งในขณะนั้นยังเป็นอิสระปกครองตัวเองอยู่ 45 ปีแล้ว ซึ่งองค์เมงกะยินโยมหาสิริชัยยะสุระก่อตั้งขึ้นพร้อมๆกับเพื่อนตาย
ของพระองค์คือมังสินธูและตะคะญีชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นเพื่อนของมังสินธู ทีแรกเมงกะยินโยต้องการมอบราชสมบัติให้มังสินธู ………………
...................…แต่มังสินธูบวชเสียแล้ว! เพราะเขาไม่อยากให้มือเปื้อนเลือดอีก และได้เป็นเจ้าอาวาสวัดกุโสดอ............................... 
เรื่องมันเริ่มขึ้นที่จุดนี้……………….


ณ บ้านงะสะยอกบ้านนอกแห่งนึง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ "บุเรงนองกยอดินนธรา" หรือเรียกอย่างพม่าว่า 
"บาดินหย่อง จอเด็งนธรา"...หรือเจ้าจะเด็ดตามพงศาวดารมีพ่อชื่อสิงคะสุร์แม่ชื่อเลาชี อาชีพปาดตาลขาย ( โห.....อาชีพ ) 
แต่ก็น่าแปลกใจที่เด็กบ้านนอกๆเป็นเพียงไพร่สามัญชน กลับกลายเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ได้ ด้วยลางบอกเหตุดังนี้........ 
.........วันหนึ่งทั้งสองคนปีนขึ้นปาดน้ำตาลสดเช่นเคย และทิ้งพระเอกไว้กลางดิน พอดี!มีไอ้งูยักษ์ประมาณยาวพอๆ 
กับต้นหมากเลื้อยมาขดรอบจะเด็ดไว้ !!!!แต่น่าแปลก....บุเรงนองในอนาคตไม่ยักสะดุ้ง ทั้งพ่อทั้งแม่ต๊กกะใจ! ยืนทำอะไรไม่ได้อยู่ราวๆ 
5นาที ( อันนี้กะเอา )งูมันก็ไปเองตาพ่อเห็นอัศจอรอหันการันต์ยอดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบอุ้มลูกวิ่งไปหาพระราชาคณะประจำแขวงของตน 
ซึ่งเป็นหมอดูให้ดูดวงชะตาของไอ้หนูมันหน่อยแปลกจริงๆ 
พระราชาคณะเมื่อดูโหงวเฮ้งของจะเด็ดแล้วก็ดีใจสุดๆ รีบเอามาอุ้มแล้วร้องว่า.......................................... 
"อายุของเราจะมิได้ชมบุญพระเจ้ามหาราชของพุกามประเทศเมื่อใหญ่ ก็ขออุ้มให้เต็มมือเสียแต่น้อยเถิด " 
แล้วก็แนะนำให้เข้าไปสู่ตองอูจะเด็ดมันจะได้เป็นใหญ่ และจะฝากให้อยู่กับมหาเถรกุโสดอเพื่อนเก่า ตาพ่อไม่รอช้ารีบย้ายสำมะโนครัวไปตองอูทันที 
ทั้งครอบครัวก็ได้พึ่งใบบุญองค์เมงกะยินโยนี่เอง แม่เลาชีได้เป็นพระนมหลวงเลี้ยงพระราชบุตรมังตรา 
หรือตะเบงชะเวตี้ในอนาคตอันเกิดจากพระราชเทวีและตะละแม่จันทราเกิดจากพระมเหสีที่ไปสวรรค์เรียบร้อยแล้ว 
ทั้งสองเจ้าหนึ่งไพร่ก็ดื่มนมร่วมเต้ากันมาแต่น้อย...................... 
…………จนกระทั่งทั้งสามโตเป็นหนุ่มเป็นสาว เจ้าจะเด็ดก็ผูกสนิทพิศวาสกับตะละแม่ โดยมีมังตรามากีดกัน 
และมังตรานี่แหละตัวการที่ทำให้ทั้งคู่ต้องจากกัน นำความที่สนิทกันนี่แหละไปทูลพระราชเทวี มังตราลิ้นดำก็เข้าใจพูดซะจนพระราชเทวีจับแยกคือ 
ให้ตะละแม่คืนสู่พระตำหนัก10วันจึงจะมาเยี่ยมแม่เลาชีซักครั้งนึง................... 
โอ้หัวใจชายหนุ่ม.......

10วันต่อมา ตะละแม่เข้าไปคุยกับจะเด็ดในห้องเพียง 2 คน มังตราแอบดูอีกเช่นเคย ก็คิดจะแกล้ง จึงนำความไปทูลพระราชเทวี 
ผลคือ…….

จะเด็ดถูกโบยต่อองค์พระที่นั่งพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง ดูท่าพระองค์จะพิโรธสุดๆ มังตราเห็นท่าไม่ดีก็ไปพาท่านมหาเถยกุโสดอมา 
ให้มาไกล่เกลี่ยจนรอดตาย แต่เจ้าจะเด็ดต้องไปอยู่ที่วัด ทำงานราชการชดใช้ความผิด 
แต่ด้วยความมานะก็ทำงานได้ดีตั้งแต่อายุยังน้อยๆโดยเฉพาะท่านขุนวังทะกยอดิน......................พ่อตาของมังตราในอนาคต......... 
พอดี!......เมงกะยินโยล้มป่วยด้วยโรคพยาธิ พอดีว่าทั้ง 3 หัวเมือง( ใหญ่ )ในลุ่มอิระวดี คือ แปร อังวะ หงสาวดี ต้องการจะเป็นใหญ่ในพุกาม 
ก็แกล้งมาถามไถ่อาการทางหงสาส่งสอพินยาน้องพระเจ้าสการะวุฒิพีมา ทางแปรส่งรานองอุปราชมา อังวะยังสงบอยู่ โดยการเอาทูตมาบังหน้า 
แท้จริงคือดูสภาพเมืองและตั้งมั่นรบ เอาเป็นเมืองขึ้น 
เอาละสิทีนี้……….


เจ้าจะเด็ดนั้นก็ถูกส่งมารับใช้ทั่นทูตที่บ้านขุนวังซึ่งมีลูกสาวนามนันทวดี สอพินยามันก้อจีบ ( ด้วยเป็นชาติเจ้าชู้ ) 
ให้จะเด็ดเป้นพ่อสื่อ แต่ นันทวดีก็ไม่ยอมรับ ทีนี้พอมังตรามาเยี่ยมบ้านก็ดันทะลาะกับสอพินยาซะอีก ....ก็จะไม่ทะเลาะได้ไง 
มังตราเดินขึ้นบ้านเองแถมไม่เกรงใครซะด้วย ( พ่อกูใหญ่ๆ ) 
แถมมังตราก็ดันชอบนางอีก เอาจะเด็ดเป็นพ่อสื่ออีกรอบ นันทวดีก็ไม่ยอมรับอีก แท้จริงแอบชอบจะเด็ดตะหาก ด้วยมันเรียบร้อย 
พูดเก่งอีกแต่พอสอพินยาไปเข้าเฝ้าในวังเจอตะละแม่จันทรา ก็ลืมนันทวดี....หวังจะจีบนางๆทราบว่าจะเด็ดไปอยู่รับใช้สอพินยา 
ก็แกล้งถามถึงทำทีชวนไปงานลอยกระทงพร้อมจะเด็ด สอพินยาคิดว่านางจะมีไมตรีต่อตน ก็รับคำชวนด้วยสีหน้าระรื่น 
แถมไปโม้กับจะเด็ดๆ ก็โกรธ แต่ก็แกล้งป่วย ไปไม่ได้ สอพินยาก็ต้องไปแทน 
พอวันงานตะละแม่ไม่เห็นจะเด็ดก็กลับ ทิ้งให้สอพินยายืนงง?????????????????????????? 
พอถามนางตองสาข้าหลวงเลยรู้ภูมิหลังของจะเด็ด ก้ออาฆาต พอดีมีไขลูครูดาบซึ่งเป็นพี่เลี้ยงสอพินยา 
แนะอุบายให้เอาแหวนไปซ่อนในหมอนของมัน แล้วหาว่ามันเอาไปก็ได้................... 
แต่จะเด็ดในตอนนั้นคุยกับนันทวดีในสวน...นางก็สารภาพรักกับจะเด็ด แต่จะเด็ดเห็นว่านางเป็นนายก็ขอให้รักกันแบบนายกับบ่าวเถอะ 
นางไม่ยอม ก็วิ่งขึ้นเรือน ต่อมาจะเด็ดมันก็เข้านอน ยังไม่ทันเอนตัวก็เกิดเหตุขึ้น 
………………………ไขลูทำทีเข้ามาขอค้นพอเจอแหวนก็ มาตู่ว่าจับขโมยได้ จะเด็ดโมโหรีบชกคว่ำแล้วเตลิดไปที่วัด หลบซ่อนตัวกับมหาเถร 
บวชเป็นเณร แถมย้อมสีผิวอีกต่างหาก และเปลี่ยนนามเป็น "มังฉงาย"แต่ก็มิอาจซ่อนได้สนิท มังตราสืบจนพบตัวแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง..... 

………………………. ต่อมาองค์เจ้าอยู่หัวเกิด "ปลง" ขึ้นมาว่าตัวแก่แล้ว มังตราราชบุตรคงจะรั้งตองอูไม่อยู่แน่ก้อคิดจะฝึกทหารไว้ 
จึงประกาศให้มีการประลองขึ้น พอมังฉงายทราบข่าวก็นำความไปบอกพระมหาเถรๆก็ให้ไปฝึกที่บ้านของตะคะญีเพื่อนเก่า 
พอไปถึงเจ้าศิษย์เอกของท่านตะคะญีซึ่งมีมาดนักเลงเต็มตัวชื่อเนงบาและสีอ่อง บังคับให้จะเด็ดดื่มเหล้า 
แต่เขาไม่ยอมก็เลยท้ากันไปว่าจะสู้อย่างลูกผู้ชายที่โรงซ้อมอาวุธของตะคะญี ก่อนจะมีการประชันระหว่างหนุ่มร่างเล็ก 
กับไอ้หนุ่มร่างใหญ่ ( เนงบา ) ผมแดงตาแดง ก็มีชายนาม "จาเลงกะโบ" เข้ามาขวางซะก่อน เขาเป็นลูกชายของท่านครูดาบนี่เอง 
.....อันจาเลงกะโบนี้สักยันต์เป็นรูปอุณาโลมที่หน้าผาก พอท่านครูรู้ว่าจะเด็ดเป็นศิษย์เอกของมังสินธูก็จัดการฝึกหนักให้ 
และให้ประลองกับแม่กันทิมาน้องสาวจาเลงกะโบ เป็นคนแรกปรากฎว่ามังฉงายแพ้ ( ออมมือ ) กันทิมาก็แสนดีเอายามาทาให้ 
แถมนางแอบชอบเจ้าหนุ่มซะด้วย......... 
....................................แต่ก็มีไขลูครูดาบมาจนได้ ไอ้หมอนี่มันเกิดมาหนักแผ่นดิน นักเลงขนาดเสือใบเรียกเตี่ย ( ล้อเล่นๆ ) 
พอดีมันเข้ามาดงกะเหรี่ยงเกิดฉะดาบกับเจ้าเนงบากันขึ้น ก็มันเป็นครูดาบ เรื่องกลยุทธ์ไม่ต้องพูดถึง เนงบาแพ้ยับ.. 
.พอจะเด็ดรู้เข้าก็รอจังหวะแก้แค้นจนทำสำเร็จ!..................... 
……………ก็ไอ้ไขลูมันถนัดดาบไม่ได้ถนัดทวน จะเด็ดมันก็ขอลองด้วยทวนปรากฎว่าพระเอกมีชัย...ฝาก 3 แผลไว้ตามที่ต่างๆของร่างกาย 
จนไขลูต้องกลับตองอูไปด้วยความแค้น………..และนำความไปทูลสอพินยาๆ ก็เอะใจ คิดว่าเป็นจะเด็ดแน่ๆ 
เพราะมันพูดทิ้งท้ายว่าแผลที่สามจะชำระเมื่อวันขึ้น 4 ค่ำเดือน 12 อันเป็นวันที่จะเด็ดหนีมา 
…….เวรแล้วสิเรา…..
…………………วันประลองใกล้เข้ามาทุกขณะ จะเด็ดก็ชวนเพื่อนร่วมตายทั้งสามอำลาท่านครูดาบไป พอไปถึงเข้าร้านจะโซ้ยข้าว ..................
ก็เกิดทะเลาะกับทั่นจิสะเบงลูกตองหวุ่นญีนายทัพเรือ ด้วยว่ามันเบ่งไปหน่อยจาเลงกะโบ สายเลือดตะคะญีเกลียดการวางโตเป็นที่สุด
ก็เลยประดาบกันอย่างสนุกสนาน จนจิสะเบงพ่ายกลับไปเล่าให้ไขลูฟัง เพราะเคยเป็นคนช่วยเหลือฉุดลูกสาวชาวบ้านมาก่อน
แถมมันเป็นศิษย์อ. มังสินธูซะด้วย ไอ้ตัวนี้มันเกิดมาหนักแผ่นดินจริงๆ ตายเมื่อไหร่แผ่นดินคงจะสูงขึ้นตั้งแยะ ตอนหลังมันทรยศต่อตองอู
และไม่ค่อยฟังอาจารย์ว่ากล่าวเลย ไขลูฟังแล้วรู้ว่าจะเด็ดแน่ๆ ก็นำความไปบอกสอพินยาๆ ก็คิดอุบายฆ่าจะเด็ดให้ได้
โดยใช้นางตองสาเป็นตัวหมาก..............................
อันตองสานี้มักจะไปหาสอพินยาเนืองๆ จนลอบได้เสียกัน และมาหาอยู่บ่อยๆ ให้ตองสาพาจะเด็ดเข้าวังแล้วบอกว่าตะละแม่จันทราอยากพบ
พอยามสามให้บอกว่าตะละแม่ไม่ว่างแล้วพาออกประตูวังสอพินยาจะซุ่มฆ่ามันเอง ........................
และแล้วก็เป็นไปตามแผน แต่ว่าจะเด็ดมันมีอะไรดีมิทราบทำให้ตองสาสงสารจนบอกความจริงให้จะเด็ดๆ ก็ใช้แผนซ้อนแผน
โดยการอยู่ในวังวันนึงและให้ตองสาไปบอกเพื่อนตายทั้งสามว่าให้ซุ่มเพื่อจะประดาบกับไอ้พวกหนักแผ่นดินนั่น
แล้วให้ไปบอกสอพินยาว่าออกจากวังไม่ได้ พรุ่งนี้ก็คงเรียบร้อย..................รับรองมันเด๊ด
คืนนั้น…….ตองสาออกไปส่งจะเด็ดด้วยความเป็นห่วง และพอไปถึงเพื่อนเกลอทั้งสาม พบ 4 ศพสมุนของสอพินยาก็ตกใจ ถามได้ความว่า
พอดีมาแอบอยู่ที่เดียวกัน มีไอ้คนนึงจำทั้งสามได้ก็ร้องขึ้นและประดาบกัน จนตัวนายหนีไปได้ และพากันกลับวัด วันต่อมาเป็นวันประลอง
ขุนเมืองบังเอิญไปพบศพไอ้สี่คนนั้นก็มีจอมอมาให้ท่านมหาเถรว่า พบศพอยู่ที่ท้ายวังและสงสัยว่าศิษย์ๆของท่านเป็นคนทำ ให้มอบตัวขึ้นศาล
จะเด็ดทราบความก็ร้องไห้ ไม่มีหวังจะได้ครองรักกับตะละแม่เสียแล้ว มังตรามาพอดี ก็แนะให้ไปทำความดีที่แปรแทน
โดยการไปเป็นสายลับ007 ไปสืบภูมิประเทศแปร และให้เพื่อนตายทั้งสามประลองจนได้ราชการก่อนแล้วให้ตามไป ถ้ามังตราได้ราชสมบัติ เมื่อไหร่จะบุกแปรให้เรียบ จะเด็ดจำต้องจากตะละแม่ไปแปร……………..

………………………..จะเด็ดได้กรำศึกกับเมืองอื่นๆ จนตกอยู่ใต้อณาเขตของตะเบงชะเวตี้ ได้แต่งงานกับสาวหลายๆคน
บางคนเป็นราชธิดาเมืองโน้นเมืองนี้ แถมได้ครองกับตะละแม่จันทราด้วย
และได้รับยศเป็น"บุเรงนองกยอดินธรา" หรือ "บาดินหย่อง จอเด็งนธรา" ฉะนี้แล………………………………

ประวัติศาสตร์การเสียดินแดนไทย ๑๔ ครั้ง เด็กรุ่นใหม่ควรศึกษาไว้เป็นบทเรียน



ประวัติศาสตร์การเสียดินแดนไทย ๑๔ ครั้ง เด็กรุ่นใหม่ควรศึกษาไว้เป็นบทเรียน

แผ่นดินไทย รักษาไว้ให้ลูกหลาน






ลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๖ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเสนาบดีที่ประชุมกันอยู่บนเรือ พระที่นั่งมหาจักรี

-:- ประวัติศาสตร์การเสียดินแดนของประเทศไทย-:-


ครั้งที่ ๑ 
เสียเกาะหมาก (ปีนัง) ให้กับประเทศอังกฤษ เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๓๒๙ พื้นที่ ๓๗๕ ตร.กม. ในสมัย ร.๑ เกิด จาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมาก เพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพของกรมพระราชวังบวรสถาน มงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป


ครั้งที่ ๒ 
เสียมะริด ทวาย ตะนาวศรี  ให้กับพม่า เมื่อ ๑๖ มกราคม ๒๓๓๖ พื้นที่ ๕๕,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๑ แต่เดิมเป็นของไทยครั้งสมัยสุโขทัย มังสัจจา เจ้าเมืองทวายเป็นไส้ศึกให้พม่า รัชกาลที่ ๑ ไม่สามารถตีคืนจากพม่าได้ ประกอบกับชาวเมืองทวายไม่พอใจกองทัพไทยที่เข้ายึดครอง จึงตกเป็นของพม่าไป


ครั้งที่ ๓ 
เสียบันทายมาศ (ฮาเตียน) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.๒๓๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๒


ครั้งที่ ๔ 
เสียแสนหวี เมืองพง เชียงตุง  ให้กับพม่าเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๘ พื้นที่ ๖๒,๐๐๐ ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ ๓    แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ ๒๐ ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ไกล  ประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และเกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้ (กลันตัน ไทรบุรี) ไทยจึงห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีกำลังใจจะยึดครอง หลังจากนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เชียงตุงก็เป็นของอังกฤษโดยสิ้นเชิง


ครั้งที่ ๕ 
เสียรัฐเปรัค ให้กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๙ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นการสูญเสีย ที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง ๑ ปี


ครั้งที่ ๖ 
เสียสิบสองปันนา ให้กับจีนเมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๓๙๓ พื้นที่ ๙๐,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมือง หลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง) แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่พร้อมเพรียงกัน  มาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท (ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป



ครั้งที่ ๗ 
เสียเขมรและเกาะ ๖ เกาะ ให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐ พื้นที่ ๑๒๔,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๔ ฝรั่งเศสบังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครอง จากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดน เขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจาก ฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ ๑๕ มกราคม ๒๔๓๘ โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับ การดำเนินนโยบายของ ร.๕ ที่ไปประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทย ฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป


ครั้งที่ ๘ 
เสียสิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ  ๒๒ ธันวาคม ๒๔๓๑ พื้นที่ ๘๗,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ ๕ พวกฮ่อ ก่อกบฏ ทางฝ่ายไทยจัด กำลังไปปราบ ๒ กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลัง จากปราบได้แล้ว ก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุด ไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง (เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษา เมืองไลและเมืองเชียงค้อ


ครั้งที่ ๙ 
เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (5 เมืองเงี้ยว และ 13 เมืองกะเหรี่ยง) ให้กับประเทศอังกฤษในสมัย รัชกาลที่ ๕ เมื่อ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2435 เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดม ด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง


ครั้งที่ ๑๐ 
เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ ๓ ตุลาคม ๒๔๓๖ พื้นที่ ๑๔๓,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นของไทยมาตั้งแต่ สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญา ไทยกับฝรั่งเศส เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย ๑ ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก ๓ ล้านบาท และยังไม่พอ ฝรั่งเศสได้ ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง ๑๕ ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุด ของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขาย เครื่องแต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.๕  เป็นค่าปรับ ร.๕ ต้องนำถุงแดง (เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้


ครั้งที่ ๑๑ 
เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง (ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่านคือ จำปาสัก และไซยะบูลี)  ให้กับฝรั่งเศสเมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๔๖ พื้นที่ ๒๕,๕๐๐ ตร.กม. ในสมัย.ร.๕ ไทยทำสัญญากับฝรั่งเศส เพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืน จันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึด เมืองตราดแทนอีก ๕ ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้ หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำย้านนาดี, ด่านซ้าน จ.เลย และยังได้เอาศิลาจารึกที่ พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย


ครั้งที่ ๑๒
 เสียมลฑลบูรพา (พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ ๒๓ มีค. ๒๔๔๙ พื้นที่ ๕๑,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๕   ไทยได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับ ของฝรั่งเศส ในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมาก เพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ ๖ กรกฎาคม ๒๔๕๐ กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย


ครั้งที่ ๑๓ เสียรัฐกลันตัน,ตรังกานู,ไทรบุรี, ปริส  ให้กับอังกฤษเมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๔๕๑ พื้นที่ ๘๐,๐๐๐ ตร.กม. ในสมัย ร.๕ ไทยได้ทำสัญญากับอังกฤษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ศาลไทยที่จะบังคับคดีความผิดของคนอังกฤษในไทย


ครั้งที่ ๑๔ เสียเขาพระวิหาร ให้กับเขมรเมื่อ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๐๕ พื้นที่ ๒ ตร.กม. ในสมัย ร.๙ ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจาก หลักฐานสำคัญของเขมร ในสมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะเสด็จเขาพระวิหาร จึงขึ้นไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วถ่ายรูปไว้เป็น หลักฐาน และนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงต่อศาลโลก ด้วยเสียง 9 ต่อ 3
พ.ศ. 2550 กัมพูชาเสนอองค์การยูเนสโก ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่มีข้อสรุป

18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นาย นพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว ร่วมกับ นายอึง เซียน เอกอัครราชทูตกัมพูชา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

24 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ทางการกัมพูชาปิดปราสาทพระวิหารชั่วคราว หวั่นผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปทำร้ายชาวกัมพูชาในบริเวณใกล้เคียง

28 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติ การดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียน ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด หรือ ศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

8 กรกฎาคม พ.ศ 2551 องค์การยูเนสโก ประกาศรับปราสาทพระวิหารขึ้นเป็นมรดกโลก




















การทํางานประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้

ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์

รูป 1 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์สานตะกร้า จากหนังสือพิมพ์

อุปกรณ์

  • หนังสือพิมพ์
  • กรรไกร
  • ริบบิ้น
  • แม็กเย็บกระดาษ

วิธีทำ

  1. นำกระดาษหนังสือพิมพ์ ตัดเป็นชิ้นๆ หนาประมาณ 1 x 22 นิ้ว
  2. สานเป็นก้นตะกร้า เมื่อเชื่อม ใช้แม็กเย็บกระดาษเย็บ
  3. สานไปเรื่อยๆ จนเป็นตะกร้า
  4. เย็บขอบด้านบนด้วยริบบิ้นสีสวย
  5. สอดรูขอบด้านข้าง ด้วริบบิ้นสีสดใส นำมาผูกโบว์ประดับตรงกลาง
นำไปวางมุมห้อง สำหรับเก็บของ หนังสือที่กระจัดกระจาย ให้เป็นระเบียบค่ะ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
รูป 2 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์รูป 3 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์รูป 4 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์รูป 5 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์รูป 6 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์รูป 7 ตะกร้าใส่ของ สานจากกระดาษหนังสือพิมพ์



ก้างปลาติดคอ


ก้างปลาติดคอ ทำไงดี

ใครที่เคยมีประสบการณ์ ก้างปลา” ติดคอ คงจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างดี ว่าการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นอย่างไร แค่จะกลืนน้ำลายตัวเองสุดแสนจะทรมาน บางรายโชคดี ใช้วิธีดื่มน้ำเยอะ ๆ หรือ กลืนข้าวคำโต ๆ แล้วได้ผล แต่หลายคนใช้สารพัดวิธีก็ไม่หาย สุดท้ายต้องโร่ไปให้หมอช่วยเอาออกก็เยอะ

ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ ผู้เขียนจึงมาสัมภาษณ์ ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน สาขาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ผศ.นพ.ปารยะ อธิบายว่า ก้างปลาติดคอพบได้ทุกช่วงอายุ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีการศึกษาว่าเป็นช่วงอายุใดมากที่สุด และเป็นก้างปลาชนิดใดมากที่สุด แต่จากประสบการณ์ที่เจอมักจะเป็นปลาทู คงเป็นเพราะประชาชนนิยมบริโภคมากก็เป็นได้ ปลาอื่น ๆ ก็มีมาให้เห็นเหมือนกันแต่ค่อนข้างน้อย
คนไข้ที่มาหาหมอส่วนมาก ก้างปลาติดคอมา 2-3 วันแล้ว ที่ติดคอปุ๊บมาหาหมอทันทีจะน้อย ส่วนใหญ่จะรู้วิธีว่า ต้องดื่มน้ำมาก ๆ หรือกลืนข้าวคำโต ๆ ในบางรายก็ใช้ได้ผล เนื่องจากก้างปลาปักอยู่บริเวณตื้น ๆ พอกลืนข้าวก้างก็ติดลงไปกระเพาะ อาหาร สามารถขับถ่ายออกมาทางอุจจาระ แต่ถ้าก้างปักลึก การกลืนข้าวคำโต ๆ อาจไปกดก้างให้ปักลึกกว่าเดิม ดังนั้นในรายที่อาการไม่ดีขึ้นจึงมาหาหมอ
เราไม่เคยนับสถิติจำนวนคนไข้ในแต่ละปี แต่ที่ รพ.ศิริราช น่าจะมีคนไข้ประมาณ 2-3 รายต่อวัน ส่วนใหญ่มักจะมาตอนกลางคืนที่แผนกอุบัติเหตุ หมอทั่วไปตรวจดูแล้วไม่พบก้างปลา ก็จะมาปรึกษาหมอหู คอ จมูก
อาการคนไข้ก้างปลาติดคอ คือ เจ็บคอ กลืนน้ำลายแล้วเจ็บ ส่วนใหญ่คนไข้จะชี้บอกได้เลยว่า เจ็บตรงไหน บวกกับการซักประวัติ ว่าไปทานแกงปลา ปลาทอด กลืนน้ำลายก็เจ็บทุกครั้ง อันนี้เป็นครูที่จะบอกว่ามีปัญหาก้างปลาติดคอ
คนไข้บางรายปล่อยทิ้งไว้นาน อาจมาด้วยอาการอักเสบ ติดเชื้อ มีหนอง ในช่องคอ โดยเฉพาะถ้าก้างปลาติดที่หลอดอาหาร ทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดการอักเสบที่ผนังของหลอดอาหาร จนเกิดการทะลุของหลอดอาหาร เกิดการอักเสบติดเชื้อในช่องเยื่อหุ้มระหว่างหัวใจและช่องปอดได้ แต่พบได้น้อย
ตำแหน่งที่พบก้างปลาติดบ่อย คือ บริเวณต่อมทอนซิล บริเวณโคนลิ้น บริเวณฝาปิดกล่องเสียง บริเวณใกล้หลอดรูเปิดทางเดินอาหาร แพทย์หู คอ จมูก จะใช้กระจกเล็ก ๆ เหมือนกับหมอฟัน สวมเฮดไลต์ ที่ศีรษะ ส่องตรวจดู ส่วนใหญ่จะเจอ ก็ใช้อุปกรณ์คีบออกมา
ในบางรายก้างปลาอยู่ลึก คนไข้อาเจียนง่าย ไม่สามารถเอาก้างออกได้ จะพ่นยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วพยายามอีกที ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ทำอย่างไรก็ไม่ออก อาจต้องดมยาสลบ ให้คนไข้นอนแล้วลองดูอีกที แต่ส่วนใหญ่จะสามารถเอาก้างออกได้ที่ห้องตรวจเลย ที่ต้องดมยาสลบมีน้อยรายมาก
ก้างปลาติดคอทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่? ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เคยเจอ ที่เจอมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง คือ เจอปักอยู่ที่หลอดอาหารแล้วทะลุออกมาที่คอ เนื่องจากก้างปลาเป็นวัสดุแปลกปลอม ร่างกายจะผลักมันออกมา บางคนทะลุหลอดอาหารมาถึงผิวหนังที่คอก็มี

มีคำแนะนำให้ฝานมะนาวเป็นชิ้น ๆ นำมาอม หรือ บีบน้ำมะนาวลงคอ? ผศ.นพ.ปารยะ กล่าวว่า สมัยก่อนเชื่อว่ามะนาวจะทำให้ก้างอ่อนลง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน ก็พูดลำบาก เพราะถ้าก้างปลามีแคลเซียมเยอะ ก็คงยากที่มะนาวจะกัดกร่อนหรือสลายไปได้
ท้ายนี้ขอแนะนำว่า การกินปลาทุกครั้งควรมีสติ คือ เอาก้างออกก่อน แล้วกินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว ค่อย ๆ กลืน เพราะจากที่เคยสอบถามคนไข้ส่วนใหญ่ มักจะกินไปคุยไป ไม่ทันได้ดูว่าปลาที่ตักใส่ปากมีก้างหรือไม่ พอรีบเคี้ยวรีบกลืนก็เลยทำให้ก้างติดคอ.

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การล้างทำความสะอาด และการเก็บรักษาสตรอว์เบอรี่


การล้างทำความสะอาด และการเก็บรักษาสตรอว์เบอรี่


สตรอว์เบอร์รี่ได้รับการยอมรับว่า เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเป็นอาหารสมอง เส้นเลือด และหัวใจ ไม่ว่าเด็กๆ ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยก็กินได้ เพราะสตรอว์เบอร์รี่มีสารอาหารหลากหลาย มีวิตามินซีเป็น 10 เท่าของแตงโม แอปเปิล และองุ่น และมีส่วนช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งด้วย อีกทั้งยังสามารถช่วยลดความอ้วนได้ เพราะมีส่วนช่วยให้ร่างกายของเราขับสารพิษออกมา สำหรับผู้หญิงแล้ว สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้เสริมสวยที่ดี เพราะดีต่อทั้งผิว และเส้นผม แต่สำหรับคนที่เป็นโรคนิ่ว หรือมีปัญหาด้านไตอย่ากินสตรอว์เบอร์รี่มากเกินไป เพราะอาจจะทำให้อาการหนักขึ้น

เวลาเลือกสตรอว์เบอร์รี่ ควรเลือกผลที่มีสีสวย แวววาว และค่อนข้างแข็ง ต้องดูพันธุ์ด้วย แต่ละพันธุ์จะมีกลิ่นหอมและรสชาติต่างกัน ในตลาดจีน สตรอว์เบอร์รี่พันธุ์เสฉวนและพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นที่นิยมกันอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสตรอว์เบอร์รี่อีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากเช่นกัน คือสตรอว์เบอร์รี่นม เพราะจะใช้นมผสมกับน้ำรด สตรอว์เบอร์รี่ชนิดนี้จึงมีกลิ่นหอม และรสชาติหวานเป็นพิเศษ ส่วนผลก็นิ่มมาก ถึงกับไม่ต้องเคี้ยวก็ได้

เวลาล้างสตรอว์เบอร์รี่ บางคนชอบเอามาแช่น้ำนานๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แช่น้ำนานเกินไปจะทำให้สารอาหารในสตรอเบอร์รี่เสียไป เวลาล้าง ควรนำสตรอว์เบอร์รี่แช่ในน้ำเกลือก่อน หรือไม่ก็น้ำชาวข้าว แช่นาน 3 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งก็เพียงพอแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ เวลาแช่น้ำ อย่าเด็ดใบอ่อนทิ้งก่อน ไม่งั้นอาจจะทำให้น้ำที่ไม่สะอาดเข้าตัวผลได้

การเก็บสตรอว์เบอร์รี่เป็นงานที่ค่อนข้างยาก ถ้ากินไม่หมด ควรวางไว้ในสถานที่ที่มีอากาศเย็น และโล่ง หรือไม่ก็ใส่ในกล่องรักษาความสดและแช่ในตู้เย็น ถ้าเหลือเยอะเกินไป และไม่สามารถกินหมดในเวลาอันสั้น ยังสามารถเก็บไว้และแช่เย็น ทำเป็น "สตรอว์เบอร์รี่น้ำแข็ง" เพื่อทำเป็นไอติมสตรอว์เบอร์รี่ในภายหลังได้

ขอโอกาสในการแนะนำวิธีการเก็บสตรอว์เบอร์รี่ให้อยู่ได้นาน ว่าเค้าเก็บกันยังไง ถึงทำให้สตรอว์เบอร์รี่ไม่เน่า และยังสดน่ากินอยู่เสมอ ^^

•สตรอว์เบอร์รี่ เป็นผลไม้ผิวบางมากๆ ฉนั้นมันง่ายต่อการช้ำมากๆ สังเกตุสักนิดก่อนซื้อ ว่าผิวมันช้ำมากหรือเปล่า ถ้าช้ำมากๆ แน่นอนว่าเน่าเร็วแน่นอน

•ถ้าจะเอาสตรอว์เบอร์รี่เดินทางข้ามวัน ข้ามคืน ควรแจ้ง คนขายว่าต้องเอาไป ตจว. กทม. ฯลฯ เพื่อทางแม่ค้าจะได้เลือกผลห่ามๆ ให้ เพราะมันจะทำให้เก็บไว้ได้นานกว่าผลสุกเต็มที่

•ถ้าต้องเอาไปจำนวนมากๆ ควรจะให้เค้าแพคเป็นกล่อง ที่ใช้สำหรับขนส่งโดยเฉพาะ โดยมากจะเป็นกล่องพลาสติกแข็งๆ เหมาะแก่การขนส่ง และการแพคกล่องจะมีใบสตรอว์เบอร์รี่สดรองอยู่ในกล่องด้วย ป้องกันการกระแทกได้เป็นอย่างดี

•แต่ถ้าจะเอาไปฝากกล่องเล็กๆ เลือกกล่องที่มันมีหูหิ้ว และมีรูให้สตรอว์เบอร์รี่หายใจ เพราะถ้ามันอัดกันแน่น ไม่มีรูระบายอากาศ เน่า!! แน่ๆ

•ถ้าถึงบ้าน ที่หมายแล้ว ก่อนเอาใส่ตู้เย็น ห้ามล้างเด็ดขาด หากระดาษนุ่มๆห่อไว้แล้วเก็บใส่ถุงซิบ แล้วเอาไว้ในตู้เย็น ถ้าจะรับประทาน เอาออกมาให้สตรอว์เบอร์รี่คลายความเย็นสักนิด แล้วค่อยล้าง และรับประทาน

•สตรอว์เบอร์รี่มันก็เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง การที่มันจะเน่าบ้าง เสียบ้าง เป็นเรื่องปรกติ

นี่ก็เป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เคล็ดไม่ลับ ที่จะทำให้เราได้เก็บสตรอว์เบอร์รี่ไปฝากเพื่อนๆ กันได้แบบไม่เสียหน้า และถึงมือคนรับประทาน แบบประทับใจคนรับแน่นนอน ^^

รูปภาพ : การล้างทำความสะอาด และการเก็บรักษาสตรอว์เบอรี่

สตรอว์เบอร์รี่ได้รับการยอมรับว่า เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเป็นอาหารสมอง เส้นเลือด และหัวใจ ไม่ว่าเด็กๆ ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยก็กินได้ เพราะสตรอว์เบอร์รี่มีสารอาหารหลากหลาย มีวิตามินซีเป็น 10 เท่าของแตงโม แอปเปิล และองุ่น และมีส่วนช่วยลดโอกาสการเป็นโรคมะเร็งด้วย อีกทั้งยังสามารถช่วยลดความอ้วนได้ เพราะมีส่วนช่วยให้ร่างกายของเราขับสารพิษออกมา สำหรับผู้หญิงแล้ว สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้เสริมสวยที่ดี เพราะดีต่อทั้งผิว และเส้นผม แต่สำหรับคนที่เป็นโรคนิ่ว หรือมีปัญหาด้านไตอย่ากินสตรอว์เบอร์รี่มากเกินไป เพราะอาจจะทำให้อาการหนักขึ้น 

           เวลาเลือกสตรอว์เบอร์รี่ ควรเลือกผลที่มีสีสวย แวววาว และค่อนข้างแข็ง ต้องดูพันธุ์ด้วย แต่ละพันธุ์จะมีกลิ่นหอมและรสชาติต่างกัน ในตลาดจีน สตรอว์เบอร์รี่พันธุ์เสฉวนและพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นที่นิยมกันอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีสตรอว์เบอร์รี่อีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากเช่นกัน คือสตรอว์เบอร์รี่นม เพราะจะใช้นมผสมกับน้ำรด สตรอว์เบอร์รี่ชนิดนี้จึงมีกลิ่นหอม และรสชาติหวานเป็นพิเศษ ส่วนผลก็นิ่มมาก ถึงกับไม่ต้องเคี้ยวก็ได้ 

           เวลาล้างสตรอว์เบอร์รี่ บางคนชอบเอามาแช่น้ำนานๆ 
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แช่น้ำนานเกินไปจะทำให้สารอาหารในสตรอเบอร์รี่เสียไป เวลาล้าง ควรนำสตรอว์เบอร์รี่แช่ในน้ำเกลือก่อน หรือไม่ก็น้ำชาวข้าว แช่นาน 3 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งก็เพียงพอแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ เวลาแช่น้ำ อย่าเด็ดใบอ่อนทิ้งก่อน ไม่งั้นอาจจะทำให้น้ำที่ไม่สะอาดเข้าตัวผลได้ 

            การเก็บสตรอว์เบอร์รี่เป็นงานที่ค่อนข้างยาก ถ้ากินไม่หมด ควรวางไว้ในสถานที่ที่มีอากาศเย็น และโล่ง หรือไม่ก็ใส่ในกล่องรักษาความสดและแช่ในตู้เย็น ถ้าเหลือเยอะเกินไป และไม่สามารถกินหมดในเวลาอันสั้น ยังสามารถเก็บไว้และแช่เย็น ทำเป็น "สตรอว์เบอร์รี่น้ำแข็ง" เพื่อทำเป็นไอติมสตรอว์เบอร์รี่ในภายหลังได้ 

ขอโอกาสในการแนะนำวิธีการเก็บสตรอว์เบอร์รี่ให้อยู่ได้นาน ว่าเค้าเก็บกันยังไง ถึงทำให้สตรอว์เบอร์รี่ไม่เน่า และยังสดน่ากินอยู่เสมอ ^^

•สตรอว์เบอร์รี่ เป็นผลไม้ผิวบางมากๆ ฉนั้นมันง่ายต่อการช้ำมากๆ สังเกตุสักนิดก่อนซื้อ ว่าผิวมันช้ำมากหรือเปล่า ถ้าช้ำมากๆ แน่นอนว่าเน่าเร็วแน่นอน

•ถ้าจะเอาสตรอว์เบอร์รี่เดินทางข้ามวัน ข้ามคืน ควรแจ้ง คนขายว่าต้องเอาไป ตจว. กทม. ฯลฯ เพื่อทางแม่ค้าจะได้เลือกผลห่ามๆ ให้ เพราะมันจะทำให้เก็บไว้ได้นานกว่าผลสุกเต็มที่

•ถ้าต้องเอาไปจำนวนมากๆ ควรจะให้เค้าแพคเป็นกล่อง ที่ใช้สำหรับขนส่งโดยเฉพาะ โดยมากจะเป็นกล่องพลาสติกแข็งๆ เหมาะแก่การขนส่ง และการแพคกล่องจะมีใบสตรอว์เบอร์รี่สดรองอยู่ในกล่องด้วย ป้องกันการกระแทกได้เป็นอย่างดี

•แต่ถ้าจะเอาไปฝากกล่องเล็กๆ เลือกกล่องที่มันมีหูหิ้ว และมีรูให้สตรอว์เบอร์รี่หายใจ เพราะถ้ามันอัดกันแน่น ไม่มีรูระบายอากาศ เน่า!! แน่ๆ

•ถ้าถึงบ้าน ที่หมายแล้ว ก่อนเอาใส่ตู้เย็น ห้ามล้างเด็ดขาด หากระดาษนุ่มๆห่อไว้แล้วเก็บใส่ถุงซิบ แล้วเอาไว้ในตู้เย็น ถ้าจะรับประทาน เอาออกมาให้สตรอว์เบอร์รี่คลายความเย็นสักนิด แล้วค่อยล้าง และรับประทาน 

•สตรอว์เบอร์รี่มันก็เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง การที่มันจะเน่าบ้าง เสียบ้าง เป็นเรื่องปรกติ

นี่ก็เป็นแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เคล็ดไม่ลับ ที่จะทำให้เราได้เก็บสตรอว์เบอร์รี่ไปฝากเพื่อนๆ กันได้แบบไม่เสียหน้า และถึงมือคนรับประทาน แบบประทับใจคนรับแน่นนอน ^^

http://thai.cri.cn/                                  http://www.at-samoeng.com/

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตำนานขนมครก



ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยคนรักของหนูแป้งอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย  แอบมีความรักกับ หนูแป้ง หนูแป้งสาวงามแห่งหมู่บ้านทุ่งมะพร้าวเตี้ยสาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน  ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง  และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย
ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้านฮะฮ่า..ข้านี่แหละผู้ใหญ่บ้านทุ่งมะพร้าวเตี้ย.. แต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย  แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร  มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน  แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน 
แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก  ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้   ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว  โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง 
คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ   ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน  ฉับพลัน!!...ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ  ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ  อารามตกใจนายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง  อารามดีใจสมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่   ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป  เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว ... 
รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน  แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน  ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข  เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา  ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..
"พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย"
ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม  พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป"  ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก" หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า 'ขนม ค-ร-ก' นั่นเอง
ขนม ค ร ก จึงเป็นขนมที่คนนิยมกินกันจนทุกวันนี้
ดัดแปลงและเรียบเรียงจาก... (นว.สส.)
 

ภาษาญี่ปุ่น ง่ายๆ เบื้องต้น (รู้ไว้ใช่ว่า)

รู้ไว้ก็ดี ภาษาญี่ปุ่น เบื้องต้น
เห็น นสพ. คมชัดลึก เค้าเอาศัพท์ คำพูดต่างๆ ในภาษาญี่ปุ่นมาให้อ่าน ก็เลยเอามาฝากน้องๆ ชาว yenta4 อีกทีค่ะ สำหรับคนที่สนใจ หรืออยากรู้ อยากพูด อยากอ่านได้ หรือคิดง่ายๆ ก็ "รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย" นะค๊า.. อ่านกันเลย
 
ป.ล. ออกตัวก่อนว่า พี่เองไม่ได้เก่งภาษาอื่นใดเลย ข้อความความรู้เรื่องภาษาที่นำมาให้น้องๆ อ่านนั้น หากมีผิดพลาดไป ก็ขอให้น้องๆ ที่มีความรู้ด้านนี้ ทักท้วงมาด้วยค่ะ พี่จะได้แก้ไขให้ถูกต้องนะคะ และหากซ้ำกันบ้าง ก็ขออภัยยิ่งๆคร่า ข้อมูลเยอะ บางทีอาจจะมีหลงลืม
วันนี้ เพิ่มเติมอีกค่ะ สำหรับภาษาญี่ปุ่นจาก นสพ. คมชัดลึก เจ้าเดิม และมีเพิ่มเติมจากที่น้องๆ พิมพ์ส่งมาในกระทู้นี้ ถ้ามีเวลาพี่จะรวมไว้ให้อีกนะคะ.. ใครมีเพิ่ม รบกวนให้ความรู้เพื่อนๆ ด้วยน้า
“ฮะจิเมะ มาชิเตะ”
ภาษาญี่ปุ่นควรรู้
คำทักทาย
 สวัสดีตอนเช้า Ohayou gozaimasu โอะฮาโย โกไซอิมัส
 สวัสดีตอนบ่าย Konnichiwa คอนนิจิวะ
 สวัสดีตอนกลางคืน Konbanwa คอนบังวะ
 ราตรีสวัสดิ์ Oyasuminasai โอะยะซุมินะไซ
 ขอบคุณมาก  Arigatou gozaimasu อะริกะโตะ โกะไซอิมัส
 ไม่เป็นไร Douitashimashite โดอิตะชิมะชิเตะ
 ขอโทษ (รบกวน) Sumimasen/suimasen ซุมิมะเซง/ซุยมะเซง
 ขอโทษ Gomennasai. โกเมงนาไซ
 ยินดีที่ได้รู้จัก Hajimemashite ฮะจิเมะมาชิเตะ
 บาย เจอกันใหม่ Ja, Matane  จา มาตาเนะ
 นอนหลับฝันดี Oyasuminasai  โอะยาสุมินาไซ  
อาหาร  ข้าว Gohan โกะฮัน
 อาหารกลางวัน Hirugohan ฮิรุโกะฮัน
 อาหารเย็น Bangohan บันโกะฮัน
 น้ำ Misu มิสุ
 ชาฝรั่ง Kocha โคชะ
 นม Gyunyu กีวนีว
 เนื้อไก่ Toriniku โทะรินิกุ
 เนื้อ Niku นิกุ
 ปลา Sakana ซะกะนะ
 ผัก Yasai ยะซะอิ
 ผลไม้ Kudamono คุดะโมะโนะ  
การนับเลข  1 Ichi อิชิ            6 Roku โระกุ
 2 Ni นิ                7 Shichi ฌิชิ
 3 San ซัน            8 Hachi ฮาชิ
 4 Shi ฌิ              9 Kyu คีว
 5 Go โงะ            10 Ju จู
“โออิชิ”
 ขอบคุณ Arigato อะริงาโตะ
 ขอโทษ  Sumimasen ซูมิ มาเซ็น
 ใช่   Hai ไฮ
 แล้วพบกันใหม่  Mata iemasho มาตะ ไออิมาโช
 เชิญ Dozo โด โสะ
 ขอบพระคุณมาก Domo arigato โด โหมะ อาริงาโตะ
 ยินดีที่ได้รู้จัก Hajimemashite ฮะจิเมะมาชิเตะ
 ไม่เป็นไร Douitashimashite โดอิตะชิมะชิเตะ
 ร้อนจังนะ Atsuidesune อะซึ่ย เดสเนะ
 หนาวจังนะ Samuidesune ซะมุ่ย เดสเนะ
 อากาศดีจัง Iitenkidesune อี้เตงกิเดสเนะ
 ห้องน้ำ Otearai  โอเตไร
 ภัตตาคาร Resutoran เรสสึเตรอง
 น้ำแข็ง Kori โคริ
 อร่อย Oishii โออิชิ
 โรงแรม Hoteru โฮเทรุ
 รถแท็กซี่ Takushi ทาคุชี
 โทรศัพท์ Denwa เด็งวา
 โรงพยาบาล Byooin เบียวอิน
 เป็นไข้/ตัวร้อน Netsu นัทสึ
 ช็อบปิ้ง (Shopping)
 ราคาเท่าไร   Ikura อิคุระ (เดสกา)  
 เงินทอน Osueri โอสุริ   
 เงินสด Okane โอกาเนะ
 ที่สนามบิน (At the airport)
 หนังสือเดินทาง Passport  พาสปอร์ต
 กระเป๋าเดินทาง Nimothu นิมอทสุ   
 ตั๋วเครื่องบิน Hikoki No Kippu ฮิโคคิ โนะ คิปปุ
-------------------------------------------------------
มีเพิ่มเติมจากน้อง
 by Hana_NZ
เพื่อน (Tomodachi) โทโมดาจิ
หิมะ (Yuki) ยูกิ
ดอกไม้ (Hana) ฮานะ
เพลง (Uta) อูตะ
พระอาทิตย์ (Taiyo) ทาอิโยะ
เด็ก (Kodomo) โคโดโหมะ
กระเป๋า (Kaban) คาบัง
หมา (Inu) อินุ
แมว (Neko) เนะโกะ
ฝน (Ame) อะเมะ
บ้า (Baga) บ้าก่า
เผ็ด (Karai) คะไร
ปราสาท (Jo) โจ
พรุ่งนี้ (Ashita) อะชิตะ
กิน (Taberu) ทาเบรุ
ใหญ่ (Dai) ได
ได้มานิดหน่อยจากเพื่อน ไม่ค่อยแน่ใจตัวเขียนในวงเล็บนะ ได้แต่ออกเสียง = =" ภาษาญี่ปุ่นสนุกดีนะ ^__^
------------------------------------------------------- การแนะนำตัวนะ!!วาตาชิวะ___(ชื่อของเรา)___ เดส  โดโสะ โยโรชิคุ โอเนะไกชิมัส
แปลว่า----ดิฉัน/กระผม  ชื่อ ........ค่ะ/ครับ  ยินดีที่ได้รู้จัก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย
by: kanomping-O-
-------------------------------------------------------โมโมะ ลูกพีช
วาตาชิ ฉัน
เทนชิโนะ สวรรค์   เทชิโนะ โชกุน กษัตริย์ผู้มาจากสรวงสวรรค์ (ใช้คำซะหรุเชียว) โชกุน กษัตริย์
อาริกาโตะ ขอบคุณ
ไอ รัก
วาตะ นุ่น
อิจิ หนึ่ง
อิจิโกะ อาจแปลว่า ลูกคนที่ 1 ได้
โกะ สวย
โมเอะ สาวน้อยน่ารัก
-- จำได้แค่นี้แหละ (ไม่มั่นใจนะว่าถูกรึป่าว)
by: sakura_p555
------------------------------------------------------- 
ภาษาญี่ปุ่น ไม่ยากเลยค่ะ  เพราะเราก็เคยคิดเหมือนกัลว่าภาษาญี่ปุ่นยาก แต่พอมาลองเรียนจิงๆก็รุ้ว่าไม่ยากเลยค่ะ ใช้เวลาแค่ปีเดียวก็สามารถพูด อ่าน เขียนได้แร้วค่ะ ประโยคสนทนาก็ไม่ยากค่ะ แค่เรารุ้คำศัพและความหมายของมันก็สามารถมาสร้างให้เป็นประโยคได้ แร้วที่สำคัญถ้าอ่านภาษาญี่ปุ่นออกแร้วแปลได้ก็ถือว่าดีแร้วค่ะ ใครยังไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นแร้วสนใจภาษานี้ ขอบอกว่าไปเรียนเลยค่ะ สนุกและก็ไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ
คำศัพน่ารักๆ ลองหัดพูดดูนะคะ
もう.こいびとがいましたか。โม่.โคะอิบิโตะก๊ะอิมะชิตะก๊ะ -มีแฟนแร้วหรือยัง
あなたは、とでも かわいいですね。อะนะตะวะ.โทเดะโม่ะ คาวาอี้เดสก๊ะ -คุนน่ารักมากๆเลย
あくびしちやってかわいいな。อะคุบิชิจิยัดเตะคาวาอี้นะ-หาวซะงั้น น่ารักซะไม่มี
もう.じがじさんだね。โม่.จิก๊ะจิซังดะเนะ-ไม่ค่อยจะชมตัวเองเลยนะ
ただよりたかいものはない。ทาดะยงริทาคาอิโมโนะวะนัย-ของฟรีไม่มีในโลก
by: nU_wOrLd_Za
-------------------------------------------------------
เพิ่มอีกอัน
anatano kao o miruto, ohadashitai อะนาตาโน๊ะ คาโอะ โอ มิรูโต๊ะ โอฮาดาชิไต๊ [ไต๊ เสียงต่ำ]แปลว่า เห็นหน้าคุณแล้วปวดตด...
ไปสอบถามจากพี่ที่เป้นล่ามญี่ปุ่นมา.... ทีแรกคิดว่าจาเอาปวดอึ๊  แต่เนื่องจากคนญี่ปุ่นสุภาพมาก  คำนี้เรยมะมี
by: มดงัยคะ
-------------------------------------------------------รูปน่ารัก หมวดร่างกาย
หู **มิมิ
จมูก **ฮะนะ
ปาก **กุชิ(งั้นก็แสดงว่าแฮมทาโร่ตอนร้องว่า กุชิๆ คงจะหมายความว่าปากมั้ง)
หัว **อะทะมะ
ผม **คะมิโนเคะ
ตา **เมะ
ไหล่ **คะตะ
ท้อง **โอนะคะ
แขน **อุดิ
คอ **คุบิ
เข่า **ฮิซะ
ขา,เท้า **อะชิ
มือ **เทะ
สะดือ **เฮะโสะ
เลือด **ฌิ
สัตว์
อะริ ** มด
อินุ **สุนัข (อินุยาฉะ หมาป่า)
อุชิ **วัว
คุมะ **หมี
สะรุ **ลิง
ชิขะ **กวาง
เสะมิ **จิ้งหรีด
นิวะโทริ **ไก่
โทะริ **นก
มุชิ **แมลง
ริสึ **กระรอก
วะนิ **จระเข้
คะนิ **ปู
เนะโกะ **แมว (เนะโกะจั๊มพ์ แมวกระโดด เพราะว่าจั๊มพ์=กระโดดในภาษาอังกฤษ)
ผลไม้
ซึอิคะ **แตงโม
นะชิ **สาลี่
มิคัง **ส้ม
เอะ ** รูปภาพ
เอโอ๊ะคะคุ **วาดภาพ
โอะโทะโขะ **ผู้ชาย
คิ ** ต้นไม้
เคะชิขิ **ทิวทัศน์
โสะระ **ท้องฟ้า
ยามะ ** ภูเขา
ยุขิ ** หิมะ
ทันสึ ** ตู้
ทสึคิ **ดวงจันทร์
เทะ ** มือ
นุโนะ ** ผ้า
โคะมะ **ลูกข่าง
โนะริ *กาว
ฮานะ **ดอกไม้
ฮิโคขิ **เครื่องบิน
ฟูเนะ **เรือ
โฮชิ **ดาว
มะคุระ ** หมอน
เมะ ** ตา
โมฝุ **ผ้าห่ม
โยะฟุขุ**เสื้อผ้า
สะระ **จาน
คุรุมะ ** รถยนต์
เระทสึ **แถว
โรโสะขุ **เทียน
ฮ่ง **หนังสือ
หมดไส้หมดพุงแร้วค่า
by : noonamjha
โซ่ซัง - ช้าง
บุตะ - หมู
อิตัย - เจ็บ
โออิชิ - อร่อย
โอเน่ซัง - พี่สาว หรืออาจใช้ชื่อของผู้หญิงแทนคำว่า โอ ก็ได้จ้า
โอนี่ซัง - พี่ชาย หรืออาจใช้ชื่อของผู้ชายแทนคำว่า โอ ก็ได้จ้า